การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9287
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2163 รหัสสำเนา 14713
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดนิกายชีอะฮฺจึงเป็นนิกายที่ดีที่สุด ?
คำถาม
เพราะเหตุใดนิกายชีอะฮฺจึงเป็นนิกายที่ดีที่สุด ? ผมเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามแนวทางชีอะฮฺ, แต่ไม่รู้ว่าชีอะฮฺมีดีอะไรเมื่อเทียบกับนิกายวะฮาบียฺ ...ขออย่าเป็นเช่นนั้นว่าเราเป็นหนึ่งในมุสลิม 72 พวกที่หลงทาง? จะให้ผมมั่นใจได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

การที่นิกายชีอะฮฺดีที่สุดนั้นเนื่องจากความถูกต้องนั่นเอง ซึ่งศาสนาที่ถูกต้องนั้นจำกัดอยู่เพียงแค่ศาสนาเดียว ส่วนศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่บางศาสนาโดยพื้นฐานไม่ถูกต้อง บางศาสนาหลักการไม่ถูกต้อง บางศาสนาก็สมมุติขึ้นมา บางศาสนาถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งทุกวันนี้บทบัญญัตที่ถูกต้อง, คือบทบัญญัติของอิสลาม, ซึ่งอิสลามที่แท้จริง อิสลามที่ถูกต้องถูกฉายออกมาในรูปแบบของชีอะฮฺเท่านั้น และเฉพาะคำสอนสั่งของชีอะฮฺเท่านั้น ที่สามารถอธิบายอิสลามมุฮัมมะดียฺให้ชัดเจนได้. หลักฐานทางประวัติศาสตร์และตำราศาสนาคือสิ่งสนับสนุนประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งความพิเศษเหล่านั้นไม่อาจพบได้ในลัทธิวะฮาบีย

คำตอบเชิงรายละเอียด

สิ่งที่ยืนยันว่านิกายชีอะฮฺดีที่สุดหรือดีกว่า นิกายอื่นๆ คือความสัตย์จริงซึ่งศาสนาที่เที่ยงธรรมในแต่ละยุคสมัยจะมีเพียงศาสนาเดียว. อัลลอฮฺ ทรงประทานศาสนาลงมาในต่างยุคต่างสมัยซึ่งมีเพียงบทบัญญัติเดียวเท่านั้น และศาสนาอื่นนอกจากนั้นถือว่า ไม่ถูกต้องจะโดยพื้นฐานของศาสนาหรือประเด็นอื่น หรือบางศาสนาก็ถูกถอดถอนไปแล้ว และบางศาสนาก็เป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น

ความหลากหลายของศาสนาแห่งพระเจ้าหรือศาสนาแห่งฟากฟ้า ซึ่งจวบจนถึงปัจจุบันนี้พระเจ้าได้ประทานลงมาแก่มนุษย์, มีความหลากหลายในแนวตั้ง มิใช่แนวนอน, หมายถึงศาสนาใหม่ได้มายกเลิกหรือทำให้ศาสนาเก่าก่อนหน้านั้นมีความสมบูรณ์ หรือการมาของศาสนาใหม่บ่งบอกให้เห็นว่า ศาสนาเก่าหมดอายุการใช้งานแล้ว ซึ่งจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งแทนที่ตนด้วยศาสนาใหม่ และเป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่จะต้องปฏิบัติตามและศรัทธาต่อศาสนาใหม่นั้น. ด้วยเหตุผลนี้เองในหลักการของศาสนาบริสุทธิ์ สำหรับบุคคลที่ไม่ศรัทธาในศาสนาใหม่นั้นจึงอยู่ในฐานะของผู้ปฏิเสธศรัทธา

อิสลามในฐานะที่เป็นศาสนาสุดท้าย จึงเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ที่สุดที่ถูกส่งลงมาสำหรับมนุษย์ชาติทั้งหลาย และอัลลอฮฺ (ซบ.) จะไม่ทรงตอบรับศาสนาใด นอกจากอิสลาม ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่าแท้จริงศาสนา  อัลลอฮฺคือ อิสลาม[1]ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อิสลาม จึงเป็นศาสนาเดียวที่ถูกยอมรับ  พระองค์ อัลกุรอานกล่าวอีกว่าและผู้ใดแสวงหาศาสนาใดอื่นนอกจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นจะไม่ที่ยอมรับจากเขาเป็นอันขาด[2]

น่าเสียดายว่าบรรดามุสลิมก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากบรรดาบรรพชนก่อนหน้านั้น ผู้เป็นเจ้าของศาสนาหลากหลายในอดีต พวกเขาได้แบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย และแน่นอนว่าเหล่านั้นต้องไม่เหมือนกัน และไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะถูกต้องไปทั้งหมดด้วย, ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า :

"ان امّتی ستفرق بعدی علی ثلاث و سبعین فرقة، فرقة منها ناجیة، و اثنتان و سبعون فی النار"؛

แท้จริงประชาชาติของฉันภายหลังจากฉัน จะแตกออกเป็น 73 พวก, ซึ่งมีอยู่พวกเดียวในหมู่พวกเขาเท่านั้น ที่ได้รับการช่วยเหลือ ส่วนที่เหลือ 72 พวกล้วนเป็นชาวนรกทั้งสิ้น[3] นิกายที่ถูกต้องและได้รับการช่วยเหลือจากนิกายต่างๆคือ นิกายชีอะฮฺสิบสองอิมามหรือตะชัยยุอ์นั่นเอง,ดุจดังเช่นอิสลามที่ถูกต้องและสัจจริง. ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า :

"ایها الناس انی ترکت فیکم ما ان اخذتم به لن تضلوا، کتاب الله و عترتی اهل بیتی"؛

โอ้ ประชาชนเอ๋ย แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่ของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านยึดมั่นต่อสิ่งนั้น จะไม่มีวันหลงทางเด็ดขาด,ได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และอิตรัตอะฮฺลุลบัยตฺของฉัน[4] (ทายาทของนบี)

ท่านอบูซัร ฆัฟฟารียฺ สหายผู้อาวุโสท่านหนึ่งของศาสดา (ซ็อล ) และเป็นผู้มีเกียรติยิ่ง กล่าวว่า :

"سمعت النبی (ص) انه قال: الا ان مثل اهل بیتی فیکم مثل سفینة نوح فی قومه، من رکبها نجی و من تخلف عنها غرق"؛

พึงรู้ไว้เถิด ฉันได้ยินจากท่านเราะซุล (ซ็อล ) กล่าวว่า : อุปมาอะฮฺลุลบัยตฺของฉันในหมู่พวกท่าน ประหนึ่งเรือของศาสดานูฮฺท่ามกลางหมู่ชนของเขา, ใครก็ตามลงเรือนั้นเขาก็จะได้รับความช่วยเหลือ และบุคคลใดผละออกจากเรือ เขาก็จะจมน้ำตาย[5]

รากฐานของนิกายชีอะฮฺคือ, เตาฮีด อัดล์ นุบูวัต อิมามะฮฺ และมะอาด, ชีอะฮฺเชื่อโดยหลักการว่า อิมามทั้ง 12 ท่านเป็นมะอฺซูม (บริสุทธิ์) ในฐานะที่เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งคนแรกในหมู่พวกเขาคือ อิมามอะลี (.) ส่วนคนสุดท้ายในหมู่พวกเขาคือ มะฮฺดียฺ (.)

มีรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวถึงจำนวนและแม้แต่นามของอิมามทั้ง 12 ท่านเอาไว้, วันหนึ่งอับดุลลอฮฺ บุตรของมัสอูด ได้นั่งอยู่ในหมู่สหายทั้งหลาย เวลานั้นได้มีอาหรับชนทบคนหนึ่งเดินเข้ามา และได้ถามขึ้นว่าในหมู่พวกท่านใครืคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูดหรือ? อับดุลลอฮฺ ตอบว่า : ฉันเอง, อาหรับคนนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า : ศาสดาของท่านมิได้บอกผู้แทนภายหลังจากเขาสำหรับพวกท่านดอกหรือ? กล่าวว่า : ใช่ ท่านบอกไว้ว่า : จำนวนของพวกเขามี 12 คน อันเป็นจำนวนหมู่ดวงดาวของวงศ์วานบนีอิสราเอล[6]

เหตุผลของเราที่ยืนยันว่า นิกายชีอะฮฺ ดีที่สุดคือ อัลกุรอานและรายงานฮะดีซ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีรับสั่งแก่เราไว้ในอัลกุรอานว่า ให้พวกเราเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ เราะซูล และอูลิมอัมริ ซึ่งตามคำอธิบายของท่านเราะซูล (ซ็อล ) หมายถึง บรรดาอิมามทั้ง 12 ท่านของชีอะฮฺ. อัลกุรอานจำนวนหลายโองการได้เน้นย้ำถึงเรื่อง อิมามะฮฺและวิลายะฮฺเอาไว้ เช่น โองการที่กล่าวว่า :

"و انذر عشیرتک الاقربین"؛

จงประกาศแก่เครือญาติชั้นใกล้ชิด

"انما ولیکم الله و رسوله و المؤمنون الذین یقیمون الصلاة و یؤتون الذکوة و هم راکعون"،

อันที่จริง ผู้ปกครองพวกเธอนั้นคืออัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์และบรรดาผู้มีศรัทธาที่ดำรงไว้การนมาซ และชําระซะกาต และขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นผู้ก้มรุกูอฺ

"یا ایها الرسول بلغ ما انزل الیک من ربک و ان لم تفعل فما بلغت رسالته"،

โอ้ ศาสนทูต! จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เธอจากพระผู้อภิบาลของเธอ และถ้าเธอไม่ได้ปฏิบัติ เธอก็ไม่ได้ประกาศสาส์นของพระองค์

"الیوم اکملت لکم دینکم و اتممت علیکم نعمتی و رضیت لکم الاسلام دیناً"ً،

วันนี้ฉันได้ทำให้ศาสนาของพวกเธอสมบูรณ์เพื่อพวกเธอ และฉันได้ทำให้ความโปรดปรานของฉันที่มีต่อพวกเธอนั้นบริบูรณ์ และฉันได้เลือกให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกเธอ

"انما یرید الله لیذهب عنکم الرجس اهل البیت"، و ... .

อัลลอฮฺ ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสโครกออกไปจากพวกเจ้า โอ้ อะฮฺลุลบัยตฺ

ท่านศาสดา (ซ็อล ) โดยการบันทึกไว้ทางประวัติศาสตร์และนักรายงานฮะดีซทั้งหลายว่า ท่านได้ประกาศแต่งตั้งท่านอะลี (.) ในฐานะที่เป็นตัวแทนของท่านแก่ประชาชน, ดังที่ฏ็อบรียฺได้บันทึกไว้ในหนังสือของตนว่า เมื่อโองการอิงซอรจงประกาศแก่เครือญาติชั้นใกล้ชิดถูกประทานลงมา ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวแก่เครือญาติของท่านว่า :อัลลอฮฺ ทรงมีบัญชาแก่ฉันว่า ให้เชิญชวนพวกท่านไปสู่พระองค์, ดังนั้น พวกท่านคนใดก็ตามได้ช่วยเหลือฉันในภารกิจดังกล่าวนี้ เขาจะเป็นทั้งพี่น้องและตัวแทนของฉันในหมู่พวกท่าน, อะลี (.) กล่าวว่า : ฉันเอง โอ้ เราะซูลแห่งอัลลอฮฺ ฉันจะเป็นผู้ช่วยเหลือท่านในภารกิจดังกล่าว, ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้จับหัวไหล่ของอะลี (.) แล้วกล่าวว่า : แท้จริง อะลีคนนี้คือพี่น้องของฉัน และเป็นตัวแทนของฉันในหมู่พวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาเถิด, ขณะนั้นเครือญาติของท่านศาสดาต่างหัวเราะเย้ยหยัน บางคนได้ลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปทางอบูฏอลิบกล่าวเชิงเย้ยหยันว่าเขาได้สั่งให้ท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามบุตรชายของท่านเอง[7]

ในช่วงบั้นปลายอายุขัยของท่านศาสดา (ซ็อล ),ช่วงกลับจากการทำฮัจญฺซึ่งรู้จักกันดีในนามของ ฮัจญฺตุลวะดา, เมื่อเดินทางมาถึงเขตแดนหนึ่งนามว่า เฆาะดีร ท่านได้ประกาศแต่งตั้งอะลี (.) อย่างเป็นทางการในฐานะของอิมามของมุสลิมทั้งหลาย และเป็นตัวแทนของท่านภายหลังจากท่าน และท่านได้กำชับบรรดามุสลิมที่อยู่กันพร้อมหน้าว่า ให้มอบสัตยาบันแก่อะลี ในฐานะที่เป็นผู้นำมวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ) อันเป็นที่ประจักษ์ในวันนั้นคือ :

"من کنت مولاه فهذا علی مولاه"

ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีผู้นี้ก็เป็นผู้ปกครองของเขาด้วยรายงานฮะดีซบทนี้เป็นฮะดีซที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ที่สุดในอิสลาม

และนี่คือภาพรวมอันเป็นเหตุผลที่ยืนยันถึงความที่ดีที่สุด และความจริงของนิกายชีอะฮฺที่มีต่อนิกายอื่น จากด้านในดังคำกล่าวของรายงานฮะดีซ และอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามยังสามารถยกเหตุผลจากภายนอกที่กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ หรือนำเอาคำสั่งสอนของนิกายชีอะฮฺ ไปเปรียบเทียบกับนิกายอื่น เมือนั้นท่านก็จะพบความจริงว่า นิกายที่ดีกว่าคือนิกายใด?

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับ วะฮาบียฺ เพียงพอแล้วถ้าได้ศึกษาข้อเขียนของ ซัยยิด มุซเฏาะฟา ระฎะวี ในหนังสืออิฏลาอาต ซิยาซี วะ มัซฮับบี ปากิสถานซึ่งวะฮาบีย์ เชื่อว่านิกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิกายในซุนนียฺ หรือนิกายชีอะฮฺ ทั้งหมดคือ มุชริกีน เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา และเคารพรูปปั้นบูชาทั้งสิ้น, การขอดุอาอฺ การไปซิยาเราะฮฺกุบูรของท่านศาสดา (ซ็อล ) ท่านอิมามอะลี (.) และอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านอื่น ล้วนเป็นบิดอะฮฺทั้งสิ้น และเป็นหนึ่งในการเคารพรูปปั้นบูชา ซึ่งในทัศนะของวะฮาบีย์ การแสดงออกเช่นนั้น เป็นฮะรอม, พวกเขาเชื่อว่าการกล่าวสลาม การให้เกียรติ และการแสดงความเคารพต่อท่านศาสดา (ซ็อล ) นอกเหนือจากในนมาซแล้ว ไม่อนุญาตให้กระทำทั้งสิ้น, การสิ้นอายุขัยของท่านศาสดาบนโลกนี้ ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับท่านแล้ว ดังนั้น การสร้างหรือตบแต่งสุสานของศาสดา (ซ็อล ) หรืออิมามท่านอื่นๆ ล้วนเป็นบิดอะฮฺ พวกเขาเชื่อว่าท่านเราะซูล (ซ็อล ) เป็นสามัญชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ท่านไร้ความสามารถ และมีความอ่อนแอเหมือนสามัญชนทั่วไป ไม่ได้มีอะไรวิเศษไปกว่านี้ ท่านไม่สามารถรับรู้ถึงสภาพของเราและโลกที่เราอยู่ ด้วยเหตุนี้, การไปซิยาเราะฮฺสุสานนบีจึง ฮะรอม[8]

ขอให้สติปัญญาอันชาญฉลาดของท่านเป็นเครื่องตัดสินว่า คำสอนเหล่านี้สามารถเข้ากับสติปัญญาและธรรมชาติของมนุษย์ได้หรือไม่? และสิ่งนี้คือความรักที่มีต่ออะฮฺลุลบัยตฺ ในฐานะที่เป็นรางวัลของการเผยแผ่ของศาสดากระนั้นหรือ[9] อัลกุรอาน มิได้สั่งแก่เราหรือว่า บรรดาชะฮีดทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮฺนั้นตาย หามิได้! พวกเขายังมีชีวิตอยู่  พระผู้อภิบาลของพวกตน ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ[10] ฐานะของท่านศาสดา (ซ็อล ) ต่ำกว่าบรรดาชุฮะดากระนั้นหรือ?



[1] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน,19

[2] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน, 85

[3] อัลอะบานะตุลกุบรอ,อิบนุ บัฏเฏาะฮฺ, เล่ม 1, หน้า 3, คิซอล, หน้า 585

[4] กันซุลอุมาล, เล่ม 1, หน้า 44, บทอัลอิอฺติซอม บิลกิตาบวัลซุนนะฮฺ

[5] อัลมุสตัดร็อก อะลัซเซาะฮีฮัยนฺ, เล่ม 3, หน้า 151

[6] คิซอล, หน้า 467

[7] ตารีคฏ็อบรียฺ, เล่ม 2, หน้า 320,พิมพ์ที่อียิปต์, กามิล อิบนุ อะซีร, เล่ม 2, หน้า 41, พิมพ์ที่ เบรูต

[8] ซัยยิด มุซเฏาะฟา,ระฎะวียฺ, อิฏลาอาต ซิยาซี วะ มัซฮับบี ปากิสถาน, หน้า 63-64

[9] "قُلْ لا أَسْئَلُکُمْ عَلَیْهِ أَجْراً إِلاَّ الْمَوَدَّةَ فِی الْقُرْبى"‏،จงกล่าวเถิด ฉันไม่ได้ขอร้องค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อการนี้เว้นแต่เพื่อความรักใคร่ในเครือญาติ (อัชชูรอ,23)

[10] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน,169

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • คำอธิบายอัลกุรอาน บทอัฏฏีน จากตัฟซีรฟะรอต มีฮะดีซบทหนึ่งกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของคำว่า ฏีน หมายถึงอิมามฮะซัน (อ.) และวัตถุประสงค์ของ ซัยตูน คืออิมามฮุซัยนฺ (ฮ.) ถามว่าฮะดีซเหล่านี้ และฮะดีซที่คล้ายคลึงกันเชื่อถือได้หรือไม่?
    10333 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/20
    อัลกุรอาน นอกจากจะมีความหมายภายนอกแล้ว,เป็นไปที่ว่าอาจมีความหมายภายในซ่อนเร้นอยู่อีก เช่น ความหมายภายนอกของคำว่า ฏีนและซัยตูน ซึ่งอัลลอฮฺ กล่าวไว้ในโองการที่ 1 และ 2 ของบท ฏีนว่า ขอสาบานด้วยพวกเขาว่า, สามารถกล่าวได้ว่าอาจหมายถึงผลมะกอก และมะเดื่อตามที่ประชาชนทั้งหลายเข้าใจ กล่าวคือ ผลมะกอกและมะเดื่อ ที่มาจากต้นมะกอกและต้นมะเดื่อ, แต่ขณะเดียวกันก็สามารถกล่าวถึงความหมายด้านในของโองการได้ ซึ่งสองสิ่งที่ฮะดีซพาดพิงถึงคือ ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เป็นผลไม้จากต้นวิลายะฮฺ[1] ทำนองเดียวกัน สามารถกล่าวได้ว่า โองการยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีก, ดังที่รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงสิ่งนี้เอาไว้, ซึ่งวัตถุประสงค์จาก ฏีน หมายถึง เมืองแห่งเราะซูล ส่วนวัตถุประสงค์ของ ซัยตูน หมายถึง บัยตุลมุก็อดดิส กิบละฮฺแห่งแรกของมวลมุสลิม[2] ตัฟซีรกุมมีกล่าวว่า ...
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    8915 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • ภาพรวม, คำสอนหลักของอัลกุรอาน บทบนีอิสราเอลคืออะไร?
    8512 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/20
    ตามทัศนะของนักตัฟซีรที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่,กล่าวว่า บทบนีอิสราเอล (อิสรออฺ)[1] ถูกประทานลงที่มักกะฮฺ และถือว่า[2]เป็นหนึ่งในบทมักกียฺ โดยสรุปทั่วไปแล้ว, บทเรียนอันเป็นคำสอนหลักของอัลกุรอาน บทนบีอิสราเอล วางอยู่บนประเด็นดังต่อไปนี้ : 1.เหตุผลของนบูวัต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน และการขึ้นมิอ์รอจญ์ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) 2.ปัญหาเกี่ยวกับ มะอาด, การลงโทษ, ผลรางวัล, บัญชีการงาน และ .. 3.บางส่วนจากประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องราวของหมู่ชนบนีอิสราเอล ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่บทจนกระทั่งจบบท 4.ปัญหาเรื่องความอิสระทางความคิด ความประสงค์ และเจตนารมณ์เสรี และทุกภารกิจที่เป็นการกระทำดีและไม่ดี ซึ่งทั้งหมดย้อนกลับไปสู่มนุษย์ทั้งสิ้น
  • เงื่อนไขถูกต้องสำหรับการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เป็นเช่นไร?
    6206 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาอื่นที่มองเห็นความต้องการของมนุษย์เพียงด้านเดียวและให้ความสนใจเฉพาะด้านวัตถุปัจจัยหรือด้านจิตวิญาณเพียงอย่างเดียว, อิสลามได้เลือกสายกลาง. เพื่อเป็นครรลองดำเนินชีวิตถูกต้องแก่ประชาชาติโดยให้มนุษย์เลือกใช้ความโปรดปรานต่างๆจากพระเจ้าอย่างถูกต้องและถูกวิธี
  • เมืองมะดีนะถูกสร้างขึ้นเมื่อใด?
    10079 ประวัติสถานที่ 2557/02/16
    นครมะดีนะฮ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอรับ และตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครมักกะฮ์อันทรงเกียรติ โอบล้อมด้วยหินกรวดทางทิศตะวันออกและตะวันตก เมืองนี้มีภูเขาหลายลูก อาทิเช่น ภูเขาอุฮุดทางด้านเหนือ ภูเขาอัยร์ทางใต้ ภูเขาญะมะรอตทางทิศตะวันตก มะดีนะฮ์มีหุบเขาในเมืองสามแห่งด้วยกัน คือ 1. อะกี้ก 2. บัฏฮาต 3. เกาะน้าต[1] เกี่ยวกับการสถาปนานครมะดีนะฮ์นั้น สามาถวิเคราะห์ได้สองช่วง 1. ก่อนยุคอิสลาม 2. หลังยุคอิสลาม 1. ก่อนยุคอิสลาม กล่าวกันว่าภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคของท่านนบีนู้ห์ (อ.) มีผู้อยู่อาศัยในนครยัษริบ (ชื่อเดิมของมะดีนะฮ์) สี่กลุ่มด้วยกัน 1.1. ลูกหลานของอะบีล ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสำเภาของท่านนบีนูห์ที่เทียบจอด ณ ภูเขาอารารัต ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองยัษริบ ซึ่งเมืองยัษริบเองก็มาจากชื่อของบรรพชนรุ่นแรกที่ตั้งรกราก นามว่า ยัษริบ บิน อะบีล บิน เอาศ์ ...
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    23962 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • บรรดามลาอิกะฮฺมีอายุขัยนานเท่าใด ?มลาอิกะฮฺชั้นใกล้ชิดต้องตายด้วยหรือไม่? เป็นอย่างไร?
    14537 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ตามรายงานกล่าวว่ามวลมลาอิกะฮฺถูกสร้างหลังจากการสร้างรูฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) พวกเขาทั้งหมดแม้แต่ญิบรออีล,
  • แนวทางที่ถูกต้อง และง่ายในการเลือกมัรญิอฺตักลีดที่มีความรู้สูงสุด สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม และไม่สามารถแยกแยะอุละมาอฺได้คืออะไร?
    12644 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การตักลีดกับมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุด หมายถึงมิได้จำกัดอยู่แค่บุคคลที่มีความเชื่ยวชาญพิเศษเฉพาะปัญหาฟิกฮฺ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักชัรอียฺของตนนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามมุจญฺตะฮิดที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ สมบูรณ์ในเรื่องฟิกฮฺ และต้องเป็นผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่ามุจญฺตะฮิดด้วยกัน ในสมัยของตน และมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุดสามารถรู้จักได้จากหนึ่ง 3 วิธีดังนี้ : หนึ่ง : ตัวเราต้องมั่นใจด้วยตัวเอง สอง : มีผู้รู้สองคนที่ยุติธรรมยืนยันในความรู้ของมุจญฺตะฮิดท่านนั้น สาม : ผู้รู้กลุ่มหนึ่งได้ยืนยันและรับรองการเป็นมุจญฺตะฮิด และการเป็นผู้มีความรู้สูงสุดของเขา น่ายินดีว่าปัจจุบันบรรดาคณาจารย์ระดับสูงของสถาบันสอนศาสนา ณ เมืองกุม ได้แนะนำผู้รู้ที่มีคุณสมบัติของมุจญฺตะฮิดสมบูรณ์ ในฐานะของมัรญิอฺตักลีดไว้หลายคนด้วยกัน ซึ่งมุสลิมทุกคนสามารถเลือกปฏิบัติตามอุละมาอฺเหล่านั้น ในฐานะมัรญิอฺตักลีด ท่านหนึ่งท่านใดก็ได้ และกิจการงานของตนให้ถือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของท่าน ที่มีอยู่ในริซาละฮฺ เตาฎีฮุลมะซาอิล ในกรณีนี้ท่านจะมั่นใจได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทางชัรอียฺของท่านแล้ว และปัจจุบันเนื่องจากการติดต่อสื่อสารนั้นสะดวกสบาย และเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ มีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้น สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม สามารถรับรู้ข้อมูลนี้ได้อย่างง่ายดาย ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5334 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    8733 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59391 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56844 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41673 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38425 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33450 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27540 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27235 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27133 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25207 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...