การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10043
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/02/18
 
รหัสในเว็บไซต์ fa17772 รหัสสำเนา 21904
คำถามอย่างย่อ
บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่?
คำถาม
บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่? บรรดามัรญะอ์มีความเห็นพ้องกันหรือไม่? หรือว่ายังมีข้อถกเถียงกันอยู่?
คำตอบโดยสังเขป

ตามหลัก “لا شکّ لکثیر الشکแล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน อุละมาส่วนใหญ่เชื่อว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا شکّ لکثیر الشک ซึ่งมีลักษณะตะอ์ลี้ลและสื่อถึงความครอบคลุมวงกว้าง แต่มีเงื่อนไขว่าบุคคลนั้นๆจะต้องมีคุณสมบัติเป็น “คนย้ำคิดย้ำทำ” และจะต้องเป็นการสงสัยที่เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำเท่านั้น ในลักษณะที่คนทั่วไปถือว่าเขาเป็นบุคคลย้ำคิดย้ำทำ ]

คำตอบเชิงรายละเอียด

ตามหลัก “لا شکّ لکثیر الشکแล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน แต่ในประเด็นที่ว่าหลักดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการกระทำที่มิไช่อิบาดะฮ์ อันได้แก่ธุรกรรมประเภทต่างๆ, สิทธิบุคคล และประเด็นความศรัทธาด้วยหรือไม่? เกี่ยวกับเรื่องนี้มีหลายทัศนะด้วยกัน ได้แก่:

หนึ่ง. ทัศนะของฟุเกาะฮาส่วนใหญ่: นักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่เชื่อว่ากฏดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا شکّ لکثیر الشک ซึ่งมีลักษณะตะอ์ลี้ลและสื่อถึงความครอบคลุมวงกว้าง[1] แต่มีเงื่อนไขว่าบุคคลนั้นๆจะต้องมีคุณสมบัติเป็น “คนย้ำคิดย้ำทำ” และจะต้องเป็นการสงสัยที่เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำเท่านั้น ในลักษณะที่คนทั่วไปถือว่าเขาเป็นบุคคลย้ำคิดย้ำทำ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า

1. ไม่ควรสนใจการสงสัยที่เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ[2]

2. หากไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้านผู้อื่นแล้วเกิดสงสัยบ่อยครั้งว่าอาหารฮาล้าลหรือไม่ ไม่ควรสนใจและให้ถือว่าฮาล้าล[3]

3. เกี่ยวกับสิทธิบุคคล “ฮักกุนนาส” ผู้ย้ำคิดย้ำทำไม่ควรสนใจข้อเคลือบแคลงของตน และให้ถือว่าการกระทำของตนถูกต้องแล้ว[4]

4. หน้าที่ของผู้ที่สงสัยทุกเรื่องไม่ว่าในเรื่องอิบาดะฮ์หรือประเด็นอื่นๆก็คือ หากมีคุณสมบัติเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ก็ไม่ควรสนใจการสงสัยของตน[5]

5. ผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮ์และท่านนบี(ซ.ล.) ทว่ามักจะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นและเป็นเหตุให้ต้องศึกษาหาคำตอบนั้น ข้อสงสัยเหล่านี้มิได้ทำให้เขาตกเป็นกาเฟรและกลายเป็นนะญิสแต่อย่างใด[6]

สอง. ทัศนะของฟุเกาะฮาที่เหลือ: บางท่านเชื่อว่ากฏดังกล่าวมีไว้เฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น และไม่ครอบคลุมถึงประเด็นอื่นๆ โดยเชื่อว่าในประเด็นอื่นๆจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏเฉพาะของแต่ละกรณี[7]

เราจะกล่าวถึงคุณลักษณะของการสงสัยดังต่อไปนี้

1. การสงสัย การกระซิบกระซาบ และความหวั่นไหวทางความคิด เกิดจากการยุแยงของชัยฏอน ในทางกลับกัน ความมั่นใจและยะกีนเกิดจากความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ชัยฏอนมักจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายหลากรูปแบบเพื่อชักนำให้บ่าวของพระองค์หลุดจากหนทางที่เที่ยงตรง และเนื่องจากชัยฏอนมีความเจ้าเล่ห์สูง จึงมักปรับใช้วิธีหลอกล่อให้ตรงกับจุดอ่อนของแต่ละคน วิธีต่อสู้กับการกระซิบกระซาบของชัยฏอนก็คือ การไม่ให้ราคาไดๆแก่พฤติกรรมของมัน ฉะนั้น เมื่อชัยฏอนชักนำให้มนุษย์คิดเรื่องอันเป็นโมฆะ ก็ควรหันไปสนใจเรื่องอื่นๆแทน

2. มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพทางความคิด จึงต้องไตร่ตรองค้นหาแนวทางสัจธรรมและยึดถืออย่างเคร่งครัด แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นมิได้หากปราศจากการพากเพียรทางปัญญาอย่างมีระบบ เพื่อให้สามารถค้นหาความหมายของโลก และบรรลุถึงฮะย้าต ฏ็อยยิบะฮ์ (ชีวิตอันเปี่ยมสุข)ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งถือเป็นต้นทุนในการขวนขวายหาปัญญาธรรม และเพื่อการนี้ จำเป็นต้องเสริมสร้างพื้นฐานความศรัทธาให้แน่นหนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้โครงสร้างทางปัญญาต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนทางความคิดจนเสียหาย ในการเดินทางครั้งนี้ สถานีแรกก็คือการครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง และหาข้อสรุปเกี่ยวกับความหมายของโลกและมนุษย์ ระหว่างนี้ก็อาจจะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเพียงแรงสั่นสะเทือนทางความคิด ซึ่งมิได้เป็นอันตรายเสมอไป ซ้ำบางครั้งยังสามารถจะเป็นช่องทางไปสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นไปก็เป็นได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรีบผ่านขั้นตอนนี้ไปให้เร็วที่สุด เนื่องจากการหยุดอยู่ ณ สถานีแห่งการสงสัยเป็นอันตรายอย่างยิ่ง[8]

ท้ายนี้ขอนำเสนอคำตอบจากบรรดามัรญะตักลี้ดต่อข้อซักถามข้างต้นดังนี้[9]

อายะตุลลอฮ์ คอเมเนอี: ผู้ที่สงสัยบ่อย ถือเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ (กะษีรุชชักก์) ส่วนในกรณีนมาซ หากผู้ใดสงสัยถึงสามครั้งในนมาซครั้งเดียว หรือสงสัยในนมาซสามเวลาติดต่อกัน (อย่างเช่น นมาซศุบฮิ ซุฮ์ริ และอัศริ) ล้วนถือเป็นคนย้ำคิดย้ำทำทั้งสิ้น ตราบใดที่การสงสัยดังกล่าวมิได้เกิดจากความหวั่นวิตกใดๆ ก็จงอย่าให้ความสำคัญ และตราบใดที่คนย้ำคิดย้ำทำยังมิได้รู้สึกว่าตนเองกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ก็ให้ปล่อยวางความสงสัยต่อไป

อายะตุลลอฮ์ มะการิม ชีรอซี: ฟัตวาของเราก็คือ กะษีรุชชักก์ หมายถึงผู้ที่สงสัยบ่อยนั้น ไม่ควรให้ความสนใจการสงสัยของตน ไม่ว่าจะสงสัยในจำนวนเราะกะอัต หรือส่วนอื่นของนมาซ หรือเงื่อนไขของนมาซ
คนย้ำคิดย้ำทำคือบุคคลที่สงสัยบ่อยในทัศนะของคนทั่วไป และหากสงสัยถึงสามครั้งในนมาซครั้งเดียว หรือสงสัยในนมาซสามเวลาติดต่อกัน ถือว่าเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ

อายะตุลลอฮ์ ศอฟี โฆลพอยฆอนี: โดยทั่วไปแล้ว คนย้ำคิดย้ำทำไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตนในประเด็นการนมาซ ไม่ว่าจะในเรื่องซิเกร หรือจำนวนเราะกะอัต หรือส่วนอื่นๆอย่างเช่นรุกั้วอ์และสุญูด

อายะตุลลอฮ์ ซีสตานี: ไช่แล้ว (ไม่ควรให้ความสนใจ)

อายะตุลลอฮ์ ฮาดะวี เตหรานี: ผู้ที่ย้ำคิดย้ำทำ ไม่ควรสนใจข้อสงสัยของตนเฉพาะกรณีที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆที่มีอัตราการสงสัยในระดับปกติ ให้ปฏิบัติเสมือนบุคคลทั่วไปยามเกิดข้อสงสัย

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
“ฮักกุนนาส”
9249, (ลำดับในเว็บไซต์ 9221)
“ฮักกุนนาสและการขออภัย”
7952, (ลำดับในเว็บไซต์ 8054)

“กฏการระวังในยามสงสัย” 3078, (ลำดับในเว็บไซต์ 3324)



[1] มูซะวี,บุจนูรดี,ซัยยิดฮะซัน, อัลเกาะวาอิดุ้ลฟิกฮียะฮ์,ค้นคว้าเพิ่มเติมโดย เมะฮ์รีซี,มะฮ์ดี และ ดิรอยะตี,มุฮัมมัด ฮะซัน,เล่ม 2,หน้า 353-356,สำนักพิมพ์อัลฮาดี,กุม,พิมพ์ครั้งแรก,..1419 และ เฏาะบาเฏาะบาอี,กุมมี,ซัยยิดตะกี, อัลอันวารุ้ลบะฮียะฮ์ ฟีเกาะวาอิดิ้ลฟิกฮียะฮ์,หน้า 190-191, สำนักพิมพ์มะฮัลลอที,กุม,พิมพ์ครั้งแรก,..1423 และ ตับรีซี,ญะว้าด,ถามตอบปัญหาศาสนาใหม่,เล่ม 2,หน้า 71,คำถามที่ 325,กุม,พิมพ์ครั้งแรก

[2] อิมามโคมัยนี,ซัยยิดรูฮุลลอฮ์,ถามตอบปัญหาศาสนา,เล่ม 1,หน้า 169,คำถามที่ 158,สำนึกพิมพ์อิสลามี,กุม,พิมพ์ครั้งที่ห้า,..1422

[3] เพิ่งอ้าง,หน้า 110,คำถามที่ 295

[4] ตับรีซี,ญะว้าด,ถามตอบปัญหาศาสนาใหม่,เล่ม 2,หน้า 71,คำถามที่ 325

[5] บะฮ์ญัต,มุฮัมมัดตะกี,ถามตอบปัญหาศาสนา,เล่ม 2,หน้า 215,คำถามที่ 2302, สำนักพิมพ์อายะตุลลอฮ์บะฮ์ญัต,กุม,พิมพ์ครั้งแรก,..1428

[6] มะการิมชีรอซี,นาศิร,ประมวลปัญหาศาสนา,หน้า 36,ปัญหาที่ 114,สำนักพิมพ์โรงเรียนอิมามอลีบินอบีฏอลิบ(.),กุม,พิมพ์ครั้งที่ห้าสิบสอง,..1429

[7] ดู: อัลเกาะวาอิดุ้ลฟิกฮียะฮ์,เล่ม 2,หน้า 355,356

[8] ดู: ระเบียนข้อสงสัยในหลักศรัทธาคำถามที่ 4895 (ลำดับในเว็บไซต์ 5356)

[9] สอบถามโดยเว็บไซต์อิสลามเควสท์

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ถ้าหากมุอาวิยะฮฺเป็นกาเฟร แล้วทำไมท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเขาด้วย แล้วยังยกตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้เขา?
    7387 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    มุอาวิยะฮฺ ตามคำยืนยันของตำราฝ่ายซุนนียฺ เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดแย้งกับชัรอียฺมากมาย อีกทั้งได้สร้างบิดอะฮฺให้เกิดในสังคมอีกด้วย เช่น ดื่มสุรา สร้างบิดอะฮฺโดยให้มีอะซานในนะมาซอีดทั้งสอง ทำนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ และ ...ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีช่องว่างที่จะมีความอดทนและอะลุ่มอล่วยกับเขาได้อีกต่อไป อีกด้านหนึ่งประวัติศาสตร์ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน การทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ มิได้เกิดขึ้นบนความยินยอม ทว่าได้เกิดขึ้นหลังจากมุอาวิยะฮฺได้สร้างความเสื่อมเสีย และความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างมากมาย จนกระทั่งว่ามุอาวิยะฮฺได้วางแผนฆ่าบรรดาชีอะฮฺ และเหล่าสหายจำนวนน้อยนิดของท่านอิมามฮะซัน (อ.) (ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายอย่างไร้ประโยชน์) ท่านอิมาม (อ.) ได้ยอมรับสัญญาสันติภาพก็เพื่อปกปักรักษาชีวิตของผู้ศรัทธา และศาสนาเอาไว้ ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รักษาศาสนาและชีวิตของบรรดามุสลิมเอาไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ กับบรรดามุชริกทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับการเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาแต่อย่างใด ดังนั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพลักษณะนี้ (บังคับให้ต้องทำ) เพื่อรักษาศาสนาและชีวิตของมุสลิม ย่อมไม่ขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของอิมามแต่อย่างใด ...
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    14570 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    11001 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • คำว่าศ็อฟในโองการ جَاء رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفّاً صَفّاً หมายความว่าอย่างไร?
    6222 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    คำดังกล่าวและคำอื่นๆที่มีรากศัพท์เดียวกันปรากฏอยู่ในหลายโองการ[1] คำว่า “ศ็อฟ” หมายถึงการเรียงสิ่งต่างๆให้เป็นเส้นตรง อาทิเช่นการยืนต่อแถว หรือแถวของต้นไม้[2] “ศ็อฟฟัน” ในโองการดังกล่าวมีสถานะเป็น ฮาล (ลักษณะกริยา)ของมะลาอิกะฮ์ ซึ่งนักอรรถาธิบายกุรอานได้ให้ความหมายไว้หลายรูปแบบ ซึ่งจะขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้ หนึ่ง. มวลมะลาอิกะฮ์จะมาเป็นแถวที่แตกต่างกัน ซึ่งจำแนกตามฐานันดรศักดิ์ของแต่ละองค์[3] สอง. หมายถึงการลงมาของมะลาอิกะฮ์แต่ละชั้นฟ้า โดยจะมาทีละแถว ห้อมล้อมบรรดาญินและมนุษย์[4] สาม. บางท่านเปรียบกับแถวนมาซญะมาอะฮ์ โดยมะลาอิกะฮ์จะมาทีละแถวจากแถวแรก แถวที่สอง ฯลฯ ตามลำดับ[5]
  • “ฟาฏิมะฮ์”แปลว่าอะไร? และเพราะเหตุใดท่านนบีจึงตั้งชื่อนี้ให้บุตรีของท่าน?
    22699 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/12
    ไม่จำเป็นที่ชื่อของคนทั่วไปจะต้องสื่อความหมายพิเศษหรือแสดงถึงบุคลิกภาพของเจ้าของชื่อเสมอไปขอเพียงไม่สื่อความหมายถึงการตั้งภาคีหรือขัดต่อศีลธรรมอิสลามก็ถือว่าเพียงพอแต่กรณีปูชณียบุคคลที่ได้รับการขนานนามจากอัลลอฮ์เช่นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซะฮ์รอ(ส) นามของเธอย่อมมีความหมายสอดคล้องกับคุณลักษณะเฉพาะตัวอย่างแน่นอนนาม “ฟาฏิมะฮ์”มาจากรากศัพท์ “ฟัฏมุน” ...
  • ความหมายของอักษรย่อในอัลกุรอานคือ อะไร?
    13437 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    อักษรย่อ หมายถึงอักษาซึ่งได้เริ่มต้นบทอัลกุรอาน บางบท ไม่มีความหมายเป็นเอกเทศ ตัฟซีรกุรอาน มีการตีความอักษรเหล่านี้ด้วยทัศนะที่แตกต่างกัน ซึ่งทัศนะที่ถูกต้องที่สุดคือ อักษรย่อเป็นรหัส ซึ่งเท่าเราะซูลและหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เข้าใจในสิ่งนั้น ประโยคที่ว่า «صراط علی حق نمسکه» นักค้นคว้าบางคนกล่าวว่า ไม่มีที่มาจากแหล่งรายงานฮะดีซ ...
  • จะทำอิบาดะฮ์ทั้งที่มีงานประจำล้นมือได้อย่างไร?
    7314 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/08/14
    เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนยิ่งขึ้นควรคำนึงถึงสาระสำคัญต่อไปนี้1. อิบาดะฮ์หมายถึงการจำนนต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์[i]แม้ว่านมาซจะถือเป็นอิบาดะฮ์ขั้นสูงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอิบาดะฮ์จะต้องเป็นนมาซหรือดุอาเสมอไปฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ล้วนกำลังทำอิบาดะฮ์อยู่ทั้งสิ้น2. การแสวงหาริซกีฮะล้าลหมายถึงการเพียรพยายามหาเลี้ยงชีพอย่างสอดคล้องกับบทบัญญัติศาสนาแน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นงานที่ใช้แรงงานเพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงงานที่ใช้ทักษะความคิดเช่นงานของวิศวกรแพทย์ฯลฯด้วยซึ่งหากเป็นไปตามกฏและบทบัญญัติศาสนาก็ถือว่ากำลังแสวงหาริซกีฮะล้าลทั้งสิ้น3. หากไม่ไช่การประชดประชันถ้าเป็นอย่างที่คุณบอกว่าทำงานตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงเที่ยงคืน
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    20754 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...
  • จะมีวิธีการจำแนก ระหว่างการกรุการมุสาหรือพูดจริง สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงวะฮฺยู (อ้างการลงวะฮฺยูและการเป็นนบี) ได้อย่างไร?
    6732 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    1- วะฮฺยูในความหมายของคำหมายถึง "การถ่ายโอนเนื้อหาอย่างรวดเร็วอย่างลับๆ" แต่ในความหมายทางโวหารหมายถึง "การรับรู้ด้วยสติอันเป็นความพิเศษของศาสดาการได้ยินพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่มีสื่อกลาง
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56821 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59368 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56821 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38395 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38390 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33428 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27522 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27214 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27111 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25181 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...